สถาบันการเงินสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้บริการด้านการเงินแก่กลุ่มผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลที่เข้าไม่ถึงบริการด้านการเงิน สามารถทำธุรกรรมกับธนาคารได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงโควิด-19 ที่ทุกคนโดนกักตัว ขณะเดียวกันสถาบันการเงินจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรว่าการให้บริการนั้นสอดคล้องกับกฏข้อบังคับสากลด้วยเช่นกัน

สถาบันการเงินหลายแห่งจัดการกับโจทย์ที่ท้าทายนี้ด้วยการนำเทคโนโลยี electronic Know-Your-Customer (e-KYC) หรือการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ มาช่วยให้การปฏิบัติตามกฎข้อบังคับเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะในการช่วยแก้ปัญหาด้านการฟอกเงิน (Anti-money laundering – AML) และต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินให้แก่กลุ่มผู้ก่อการร้าย (Counter-terrorist financing – CTF) เทคโนโลยีนี้เป็นความพยายามที่จะทำให้ประสบการณ์ลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่นให้มากที่สุด

เทคโนโลยี e-KYC ถูกนำมาใช้เพื่อลดขั้นตอนการแสดงตัวตน หรือระบุตัวตนของลูกค้า ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดีย การใช้หมายเลขไอดีดิจิทัล Aadhaar ผ่าน e-KYC เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร หรือทำธุรกรรมทางการเงิน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการดำเนินการให้สถาบันทางการเงินจากเดิมอยู่ที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคน (ประมาณ 160 บาท) ตอนนี้ค่าใช้จ่ายเหลือเพียง 0.7 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคน (ประมาณ 20 บาท) จากผลสำรวจโดยบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก McKinsey

ในสถานการณ์โลกที่ต้องรับมือกับโควิด-19 เทคโนโลยี e-KYC ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการเงินแบบไร้สัมผัส ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ด้านสุขอนามัยของประชาชน ธนาคารต่างๆ ในประเทศไทยได้รับอนุญาตให้นำเทคโนโลยีจดจำและเรียนรู้ใบหน้า (Biometric facial recognition) มาใช้ในการยืนยันตัวตนในการเปิดบัญชีเงินฝากจากระยะไกล (Remote account opening) โดยธนาคารที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการนำระบบ e-KYC มาใช้ในการยืนยันตัวตนทางชีวภาพ คือ ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารทหารไทย, และ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด

ธนาคารทั้งหกแห่งปัจจุบันสามารถพิสูจน์ตัวตนลูกค้า โดยอ้างอิงข้อมูลจากแพลตฟอร์มบริการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID – NDID) ซึ่งจะบันทึกประวัติการทำธุรกรรมทางการเงินของประชาชน เป็นการช่วยลดจำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการกับทางธนาคารในช่วงกักตัว กลุ่มธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการธุรกรรมทางการเงินเริ่มนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกมาใช้ภายใต้โครงการ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อใช้ตรวจสอบตัวตนของลูกค้า ทำให้ e-KYC เริ่มเป็นที่รู้จัก ระบบ e-KYC จะช่วยให้การบริการทางการเงินดิจิทัลแบบไร้การสัมผัสมีความปลอดภัย และความสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะในเวลาจำเป็นที่รัฐบาลขอความร่วมมือจากประชาชนในการเว้นระยะห่าง หรือช่วงกักตัว

เวิลด์แบงก์ คาดว่าประชากรมากกว่า 1.7 ล้านคนในปัจจุบันอยู่นอกระบบธนาคาร โดยเกือบ 1 ใน 5 นั้นไม่มีเอกสารสำคัญในการยืนยันตัวตนในหลายๆ ประเทศ เห็นประโยชน์จากการนำ e-KYC เข้ามาใช้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการไม่รู้หนังสืออยู่ในระดับสูง และมีประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่เผชิญความยากลำบากต่อการเข้าถึงการบริการทางการเงินต่างๆ

บังคลาเทศ คือประเทศตัวอย่างที่เป็นตลาดเกิดใ หม่ และมีการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญจากการนำเทคโนโลยี e-KYC มาใช้ แม้ว่ากว่า 70% ของประชากรบังคลาเทศอาศัยอยู่ตามชนบท แต่กว่าครึ่งของประชากรที่บรรลุนิติภาวะมีบัญชีธนาคาร หรือมีแอปพลิเคชั่นธนาคารบนโทรศัพท์ เนื่องจากเทรนด์การเติบโตของโมบายล์แบงกิ้ง จากผลการสำรวจดัชนีทางการเงินทั่วโลกของเวิลด์แบงก์

bKash ผู้ให้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในบังคลาเทศ และเป็นพาร์ทเนอร์กับอาลีเพย์ เปิดตัวฟังก์ชัน e-KYC ในแอพโมบายล์แบงกิ้ง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีธนาคารผ่าน bKash ได้ด้วยตนเองง่ายๆ เพียงสแกนหน้าบัตรประชาชนและถ่ายรูปตัวเอง

ด้วยการทำงานที่ง่ายของ e-KYC ลูกค้าจึงไม่จำเป็นต้องมีทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยีแต่อย่างใด หรือไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังธนาคารเพื่อกรอกเอกสาร ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้ที่ไม่รู้หนังสือ ระบบดังกล่าวส่งผลให้บังคลาเทศเข้าใกล้เป้าหมายของประเทศที่ต้องการให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงการบริการทางการเงินภายในปี 2567

นอกจากระบบ e-KYC จะสามารถช่วยในการเข้าถึงบริการธุรกรรมดิจิทัลในหลายๆ ธุรกิจแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่สถาบันทางการเงินทั่วโลกได้ประสบโดยทั่วกัน ตัวอย่างเช่น e-KYC สามารถป้องกันการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว ตรวจสอบธุรกรรมการเงิน โดยเฉพาะเมื่ออาชญากรไซเบอร์มีความเชี่ยวชาญในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อโจรกรรมข้อมูลจากบริษัทและลูกค้า จากการสำรวจการโจรกรรมทางการเงินทั่วโลกโดย KPMG เผยว่า 61 เปอร์เซ็นของธนาคารมีการโจรกรรมทางการเงินเพิ่มขึ้นทั้งมูลค่าและปริมาณในช่วงสามปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ e-KYC ยังช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบบุคคล ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ และช่วยจัดสรรทรัพยากรให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก

จากรายงานการวิจัยอุตสาหกรรมพบว่า สถาบันการเงินหลายแห่งต้องเสียค่าปรับโดยรวมกว่า 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐในรอบสิบปีที่ผ่านมา และหนึ่งในสามของสถาบันการเงินเหล่านั้นยอมรับว่าความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือ การขาดแคลนทรัพยากรในการดำเนินการ e-KYC และกระบวนการตรวจสอบสถานะการเงินของลูกค้า

ประโยชน์ของ e-KYC นั้นชัดเจนในเชิงทางพาณิชย์ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ โดยประโยชน์หลักๆ ของ e-KYC คือ: 1) ช่วยการทำธุรกรรมการเงินให้ง่ายขึ้นโดยการจดจำใบหน้า 2) ช่วยการระบุไอดีที่เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล และการยากต่อการปลอมแปลง 3) ควบคุมความปลอดภัยโดย multi risk signal-based แบบเรียลไทม์

เมื่อเทียบกับกระบวนการทำงานแบบเดิม แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้สถาบันการเงินลดขั้นตอนการบริการด้วยการบริการตนเองแบบอัตโนมัติด้วยไอดี และเทคโนโลยีตรวจสอบและจดจำใบหน้า ข้อมูลที่ได้รับจากลูกค้าสามารถตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลจากภาครัฐซึ่งช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมาก

ในประเทศอินโดนีเซีย กว่าครึ่งหนึ่งของลูกค้าที่ใช้แพลตฟอร์ม e-KYC สามารถใช้บริการทางการเงินได้ภายใน 3 นาที เมื่อเทียบกับกระบวนการทำงานแบบเดิมที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงในการตรวจสอบตัวตน

ประโยชน์ของ e-KYC นั้นชัดเจนในเชิงทางพาณิชย์ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ และในตลาดเกิดใหม่ ผลกระทบเชิงบวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินเป็นประเด็นที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไม่เป็นปกติ เช่น ช่วงการกักตัวระหว่างโควิด-19

ข่าวประชาสัมพันธ์

SHARE
คนเล่าเรื่องไอที ที่เชื่อว่าการได้เดินทางและการพบปะพูดคุยกับผู้คนในสายงานต่าง ที่ไม่คุ้นเคยคือกำไรชีวิต...หลงไหลในการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้เจอเจ้าหน้าที่ ตม.
RELATED POSTS
vivo ดึง ‘ญดา นริลญา’ ขึ้นแท่นพรีเซนเซอร์ Y200 5G เตรียมท้าพิสูจน์ความทน พร้อมชนทุกสเปก 24 ต.ค. นี้!
แพ็กเกจใหม่ ทรู แฟมิลี่ พลัส คุ้มกว่าใคร ได้ True Gigatex Fiber สปีดแรง 100 Mbps
เอไอเอส จัดมาตรการเข้มเพิ่มเติม รับมือการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19

Leave Your Reply

*