เรียกว่าไม่ต้องรอให้เสียเวลาหลังจากมีข่าวหลุดสินค้าใหม่จาก Bose ไปไม่ได้นาน ตอนนี้ Gadget ที่ว่านั้นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ประกอบไปด้วยหูฟัง 2 รุ่นใหม่และแว่นฝั่งหูฟังรุ่นใหม่ได้เปิดตัวแล้ว
Bose QuietComfort Earbuds
ต้องบอกไว้ก่อนว่านี่คือหูฟังไร้สายรุ่นแรกของค่ายที่มีระบบ Noise Canceling ในหูฟังแบบ TWS ของค่าย ตัวเครื่องจะมีฟีเจอร์ ANC ทำงานโดยการใช้ไมโครโฟนและ Algorithm ในการเปิดระบบ หรือตั้งให้มีเสียงรบกวน หรือ Ambient เข้ามาได้เล็กน้อย การออกแบบนั้นจะคล้ายกับหูฟังแบบ In Ear ช่วยกันเสียงรบกวนได้ได้ระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ยังถอดความสามารถจาก Bose Headphone 700 นั่นคือการตั้งค่าระบบ Noise Canceling ได้ ว่าคุณจะเอาแบบปิดทั้งหมด เปิดเสียงรบกวนบางส่วนได้
และยังติดตั้ง Volume Optimized Active EQ ช่วยจัดการเรื่องของระดับเสียงให้เหมาะสมและลดความหน่วงในการปรับระดับเสียงในการปรับ Equalizer และหูฟังรุ่นนี้รองรับ Bluetooth 5.1 พร้อมกับรองรับ AAC Codes แถมยังกันน้ำในแบบ IPX4 คือกันน้ำกระเด็นใส่ได้ และเพิ่มการควบคุมผ่านการแตะสัมผัส

ส่วนแบตเตอรี่ที่หูฟังสามารถใช้งานได้นานสุด 6 ชั่วโมง และรวมกับการใช้ Charging Case รวมกัน 18 ชั่วโมง และมี Quick Charge วางชาร์จแป๊ปเดียว สามารถใช้งานได้ 2 ชั่วโมง และแท่นชาร์จรองรับการชาร์จไฟทั้งแบบสาย สามารถเก็บไฟได้ภายใน 2 ชั่วโมง และรองรับ Wireless Charge ด้วย
หูฟัง Bose QuietComfort Earbuds มีหเลือก 2 สีคือ Triple Black, และ Soapstone จะออกเป็นสีเบส ในราคา 280 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 10,400 บาท
Bose Sport EarBuds

มาถึงหูฟังรุ่นที่ 2 ที่เปิดตัวกันบ้างรุ่นนี้ราคาไม่แรงเท่าตัวแรกแต่ก็มีฟีเจอร์เช่น Active Noise Canceling ที่ทำให้คุณโฟกัสกับการออกกำลังกายมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมการป้องกันน้ำในแบบ IPX4 และมีฟีเจอร์ Bose’ StayHear การออกแบบให้คล้ายกับ In Ear ช่วยทำให้การใสง่ายและมีปีกเล็กๆ เพื่อให้ยึดกับหูของเราได้ดีขึ้น

รองรับฟีเจอร์ Bluetooth 5.0, การเข้ารหัส AAC Codes พร้อมกับรองรับ Active EQ ส่วนแบตเตอรี่ใช้ได้นานสุด 5 ชั่วโมง และรวมกับ Charging Case อยู่ได้ 15 ชั่วโมง และมี Touchpad สั่งงานได้ ทั้งนี้สีของหูฟังรุ่นนี้มีให้เลือก 3 สีคือ Baltic Blue, Glacier White, และ Triple Black ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 180 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ หรือประมาณ 6,700 บาท

Bose Frames
ปิดท้ายกับหูฟังที่มาอยู่ในร่างของแว่นกันแดดมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบคือ Soprano, Tenor, และ Tempo และแยกออกอย่างไร คำตอบคือ

Soprano
Soprano และ Tenor จะมีหน้าตาที่คล้ายกัน แต่ว่าเลนส์ของ Soprano จะเป็นแบบกรอบเหมือนกับตาแมว แต่ว่า Tenor จะเป็นกรอบเหลี่ยมปกติ เฟรมเป็นแบบ ไนลอน พร้อมกับกระจกให้สีดำที่หมด และโครงสร้างของแม่นเป็นแบบ Polycarbonate

Tenor
ตัวเลือกสำหรับเลนส์มีให้เลือกทั้งสี Rose Gold, ออกสีม่วง สำหรับ Soprano แต่ถ้าเป็น Tenor จะเป็นกระจกสีเงิน, สีออกฟ้า
ส่วนระบบเสียงนั้นใช้ระบบ Bose Oper Ear Audio ที่ให้เสียงออกจากก้านและเข้าไปที่หูเราได้โดยไม่มีเสียงรบกวนออกมา เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ และแบตเตอรี่อยู่ได้ที่ 5.5 ชั่วโมง พร้อมกับมี Touch pad สั่งงานด้านข้างควบคุมตั้งแต่ การรับสาย, หยุดเพลง, ปรับระดับเสียง และมีเซนเซอร์เมื่อถอดแว่นจะหยุดเพลงและปิดตัวเองเพื่อประหยัดไฟ และไมโครโฟนมาแบบ Beamforming Microphone สำหรับการโทรศัพท์

Tempo
และมาถึงแว่น Tempo ที่ออกแบบเพื่อใช้ออกกำลังกายโดยมีการใช้ซิลิโคนแบบอ่อนนุ่มที่ตรงช่วงจมูก และสามารถปรับได้ 3 ขนาดมีให้เลือกในกล่อง พร้อมกับกันน้ำได้ในระดับ IPX4 โดยสามารถเลือกเลนส์ทั้ง Road Orange, Trail Blue และ Twilight Yellow ที่จะมีความแตกต่างในเรื่องของสีที่เข้มความสว่างตามค่า VLT (visible light transmission) ส่วนระบบเสียงนั้นจะคล้ายกับรุ่นก่อนหน้านี้ และราคายังเท่ากันคือ 250 ดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยตอนนี้ยังเป็นการเปิด Pre-Order ในบางประเทศ