วันนี้ Apple เปิดตัว iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ซึ่งขยายขอบเขตของคำว่าเป็นไปได้ในสมาร์ทโฟน โดยที่ทั้งสองรุ่นได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่ภายในจรดภายนอก อีกทั้งยังมีจอภาพ Super Retina XDR แบบใหม่หมดพร้อมด้วย ProMotion
ซึ่งมีอัตราการดึงข้อมูลใหม่แบบปรับได้สูงสุด 120Hz เพื่อประสบการณ์ในการสัมผัสที่รวดเร็วและตอบสนองทันใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบกล้องระดับโปรที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งกล้องอัลตร้าไวด์ ไวด์ และเทเลโฟโต้ใหม่ ซึ่งสามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้อย่างสวยงามน่าทึ่งโดยมีชิป A15 Bionic ที่มีประสิทธิภาพเหนือชั้นเป็นหัวใจสำคัญ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เกิดความสามารถใหม่ๆ ด้านภาพถ่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบน iPhone อย่างการถ่ายภาพมาโครด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ใหม่ และประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดีขึ้นสูงสุด 2.2 เท่าบนกล้องไวด์ใหม่
รวมถึงคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ อย่าง “สไตล์ภาพถ่าย” ที่จะปรับแต่งภาพในแอปกล้องออกมาในแบบที่ผู้ใช้ต้องการ และโหมดกลางคืนที่ใช้งานได้กับทุกกล้อง อีกทั้งยังมี “โหมดภาพยนตร์” ที่จะเปลี่ยนมิติระยะชัดลึกอย่างสวยงาม ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญสำหรับวิดีโอ การถ่ายวิดีโอแบบมาโคร ไทม์แลปส์ และสโลว์โมชั่น แล้วยังถ่ายวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้นด้วย ยิ่งกว่านั้นทั้งสองรุ่นยังมีเวิร์กโฟลว์ระดับโปรในแบบ Dolby Vision ตั้งแต่ต้นจนจบ
และเป็นครั้งแรกที่รองรับ ProRes ด้วย ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น นอกจากนี้ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังมาพร้อม 5G ที่รองรับย่านความถี่มากขึ้นเพื่อการใช้งานที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นมากจนเรียกได้ว่านานที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone กับ iPhone 13 Pro Max, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุใหม่ที่ 1TB และด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีจำหน่ายใน 4 สีสันสวยงาม ได้แก่ สีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลูใหม่
“iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ทำให้เรามีกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone ที่โปรที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมีทั้งระบบกล้องที่ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุด รวมถึงแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone และประสิทธิภาพที่เร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน เรียกว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับ iPhone และเปิดประสบการณ์อันน่าทึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน”
Greg Joswiak ซึ่งเป็นรองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “ระบบกล้องระดับโปรใหม่นี้มาพร้อมความสามารถในการถ่ายภาพที่โปรยิ่งขึ้น อย่างการซูมด้วยเทเลโฟโต้ที่ดียิ่งขึ้น การถ่ายภาพมาโคร สไตล์ภาพถ่าย โหมดภาพยนตร์ รวมถึงวิดีโอ ProRes และ Dolby Vision นอกจากนี้ยังมีจอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion ซึ่งเป็นจอภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา เพราะตอบสนองต่อคอนเทนต์ที่อยู่บนหน้าจอได้อย่างชาญฉลาด และมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่เหนือชั้น เหมาะสำหรับประสบการณ์ด้านภาพทุกรูปแบบ”
ระบบกล้องที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone
กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 Pro มาพร้อมระบบกล้องที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone นั่นคือเซ็นเซอร์และเลนส์ใหม่สำหรับกล้องหลังทั้ง 3 ตัว ซึ่งปรับแต่งมาอย่างลงตัวให้ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับ iOS 15 โดยมีโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP)ใหม่ในชิป A15 Bionic เป็นขุมพลังเพื่อการลดนอยซ์และแมปโทนที่ดียิ่งขึ้น กล้องไวด์แบบใหม่หมดมีเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นด้วยพิกเซลขนาด 1.9 µm ซึ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone จึงมีนอยซ์น้อยลงและมีความไวชัตเตอร์เร็วขึ้น เหมาะสำหรับทุกสภาพแสง และเผยให้เห็นรายละเอียดในภาพมากยิ่งขึ้น
ซึ่งเมื่อรวมกับรูรับแสงขนาด ƒ/1.5 ที่ใหญ่ขึ้นแล้ว กล้องไวด์บน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จึงถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งกว่าเดิมมาก สูงสุดถึง 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro และเกือบ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro Max นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ (OIS) ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone โดยที่ระบบนี้จะป้องกันการสั่นไหวของเซ็นเซอร์ แทนที่จะเป็นเลนส์ เพื่อให้ภาพดูคมชัดและวิดีโอมีความนิ่ง ถึงแม้ว่าผู้ใช้จะไม่นิ่งก็ตาม
กล้องอัลตร้าไวด์ใหม่มาพร้อมรูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ที่กว้างยิ่งกว่าเดิมมาก พร้อมด้วยระบบออโต้โฟกัสใหม่ที่มีประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยดียิ่งขึ้นถึง 92% ทำให้ภาพสว่างมากขึ้นและยังคมชัดยิ่งขึ้นด้วย ยิ่งกว่านั้นดีไซน์ใหม่ของเลนส์
รวมถึงความสามารถในการออโต้โฟกัสที่มีในกล้องอัลตร้าไวด์บน iPhone เป็นครั้งแรก และซอฟต์แวร์อันล้ำสมัยยังช่วยปลดล็อคสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อนบน iPhone นั่นคือการถ่ายภาพมาโคร ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บภาพอันคมชัดน่าทึ่งที่วัตถุดูใหญ่กว่าความเป็นจริงได้ โดยการขยายภาพวัตถุนั้นด้วยระยะโฟกัสที่ใกล้สุดเพียง 2 เซ็นติเมตร
นอกจากนี้ยังสามารถใช้มาโครกับวิดีโอได้ด้วยทั้งสโลว์โมชั่นและไทม์แลปส์ ส่วน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ก็มาพร้อมกล้องเทเลโฟโต้ 77 มม. ใหม่ที่ให้ผู้ใช้เข้าใกล้สิ่งที่ต้องการถ่ายได้มากขึ้นขณะบันทึกวิดีโอ และสามารถจัดเฟรมภาพถ่ายบุคคลแบบคลาสสิกได้ดียิ่งขึ้นโดยอาศัยช่วงซูมแบบออปติคัล 3 เท่า ซึ่งเมื่อรวมทั้งระบบกล้องแล้วทำให้มีช่วงซูมแบบออปติคัลถึง 6 เท่าเลยทีเดียว
Neural Engine ที่เร็วยิ่งขึ้นในชิป A15 Bionic รวมถึง ISP ใหม่ และความล้ำหน้าของการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ คือขุมพลังเบื้องหลังคุณสมบัติใหม่ๆ ของกล้องบน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max คุณสมบัติ “สไตล์ภาพถ่าย” ให้ผู้ใช้นำสไตล์การปรับแต่งภาพในแบบของตัวเองมาใช้กับทุกภาพได้โดยที่ยังคงได้ประโยชน์จากการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมของ Apple ส่วนค่าสำเร็จรูปและค่าที่ปรับแต่งไว้เองนั้นก็ใช้งานได้กับตัวแบบและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์ตรงที่จะมีการปรับค่าต่างๆ ในแต่ละส่วนของภาพในระดับที่เหมาะสมอย่างชาญฉลาดเพื่อให้องค์ประกอบสำคัญในภาพอย่างโทนสีผิวยังคงดูดีเช่นเดิม อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่โหมดกลางคืนใช้งานได้กับกล้องทุกตัวบน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max รวมถึงกล้องเทเลโฟโต้
และยิ่งมี HDR อัจฉริยะ 4 ด้วยแล้ว ไม่ว่าถ่ายอะไรก็จะสังเกตเห็นสีสัน คอนทราสต์ และการจัดแสงที่ดียิ่งขึ้น แม้แต่กับภาพหมู่หรืออยู่ในสภาวะที่แสงไม่ดี ทำให้ภาพที่ได้มีความสมจริงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังมีคุณสมบัติยอดนิยม อย่าง Deep Fusion, Apple ProRAW และโหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์การจัดแสงภาพถ่ายบุคคลด้วย
ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในด้านวิดีโอสำหรับสมาร์ทโฟน
โหมดภาพยนตร์บน iPhone สามารถบันทึกวิดีโอผู้ของคน สัตว์เลี้ยง และวัตถุพร้อมเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกที่สวยงาม และเปลี่ยนโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ ทีนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเก็บบันทึกช่วงเวลาสำคัญในสไตล์ภาพยนตร์ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการศึกษาเรื่องการกำกับภาพและการใช้โฟกัสแบบแร็คอย่างละเอียด
ยิ่งกว่านั้นยังสามารถเปลี่ยนโฟกัสเพื่อควบคุมการสร้างสรรค์ได้ทั้งในขณะถ่ายทำและหลังจากถ่ายเสร็จ และผู้ใช้ยังสามารถปรับระดับโบเก้ในแอปรูปภาพและ iMovie สำหรับ iOS ได้ด้วย ซึ่งเร็วๆ นี้จะทำได้กับ iMovie สำหรับ macOS และ Final Cut Pro เช่นกัน ทำให้นี่คือกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวที่สามารถปรับแต่งเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกในวิดีโอหลังจากถ่ายได้ และโหมดภาพยนตร์ยังสามารถบันทึกในแบบ Dolby Vision HDR ได้อีกด้วยโดยอาศัยชิป A15 Bionic และอัลกอริทึมการเรียนรู้ของระบบอันล้ำสมัย
นอกจากนี้ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังมาพร้อม ProRes2 ซึ่งเป็น Codec วิดีโออันล้ำสมัยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการส่งมอบงานขั้นสุดท้ายอย่างโฆษณา ภาพยนตร์ และรายการออกอากาศ เนื่องจากเป็นรูปแบบที่มีสีสันแม่นยำกว่าและบีบอัดน้อยกว่า3 ซึ่งที่เวิร์กโฟลว์ระดับโปรแบบใหม่อันทรงพลังนี้เป็นจริงได้ก็เพราะฮาร์ดแวร์กล้องใหม่ ตัวเข้ารหัสและถอดรหัสวิดีโอสุดล้ำในชิป A15 Bionic รวมถึงการมีตัวจัดเก็บข้อมูลแบบแฟลชเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงาน และ iPhone ก็เป็นสมาร์ทโฟนเดียวในโลกที่มีเวิร์กโฟลว์ระดับนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ช่วยให้ผู้ใช้บันทึก ตัดต่อ แล้วแชร์ในแบบ Dolby Vision หรือ ProRes ได้เลย
ชิป A15 Bionic พร้อม GPU แบบ 5-core เพื่อประสิทธิภาพที่เหนือชั้น
ชิป A15 Bionic ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 Pro มีความล้ำหน้ายิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในด้านประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานที่น่าประทับใจ และยังเป็นขุมพลังเบื้องหลังคุณสมบัติอันน่าทึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนบน iPhone ทั้งจอภาพ กล้อง และวิดีโอ ชิป A15 Bionic
ซึ่งใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตร เป็นชิปที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน และมาพร้อม GPU แบบ 5-core ใหม่ในรุ่น Pro เพื่อประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่เร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนและเร็วกว่าคู่แข่งในระดับชั้นแนวหน้าสูงสุด 50% จึงเหมาะสำหรับการเล่นเกมประสิทธิภาพสูงและคุณสมบัติใหม่ๆ
ด้านกล้องอีกมากมาย ใน CPU แบบ 6-core ใหม่นั้นประกอบด้วย 2-core ประสิทธิภาพสูงและ 4-core ประหยัดพลังงานสูง จึงมีความเร็วเหนือกว่าคู่แข่งสูงสุด 50% และรับมือกับงานที่ต้องประมวลผลหนักๆ ได้อย่างลื่นไหลและประหยัดพลังงาน ส่วน Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ก็ประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที
จึงประมวลผลเพื่อการเรียนรู้ของระบบได้เร็วยิ่งขึ้น และช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในแอปของบริษัทอื่น รวมถึงคุณสมบัติอย่าง “ข้อความในภาพ” ในแอปกล้องที่มาพร้อมกับ iOS 15 ด้วย และยังมีการปรับปรุง ISP เจเนอเรชั่นถัดให้ล้ำไปอีกขั้นเพื่อให้สามารถลดนอยซ์และแมปโทนได้ดียิ่งขึ้น
จอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion ทั้งสว่างขึ้นและตอบสนองฉับไวยิ่งขึ้น
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max โดดเด่นด้วยจอภาพที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมาบน iPhone นั่นคือ Super Retina XDR พร้อม ProMotion ซึ่งรองรับอัตราการดึงข้อมูลใหม่แบบปรับได้ตั้งแต่ 10Hz ถึง 120Hz เพื่ออัตราเฟรมที่รวดเร็ว
พร้อมกับช่วยประหยัดแบตเตอรี่ในเวลาที่ไม่ต้องใช้ ซึ่งทั้งรุ่น 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว4 ต่างก็มาพร้อมจอภาพใหม่อันชาญฉลาดนี้ ซึ่งใช้ประโยชน์จากแผงจอภาพ OLED ที่ประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น, เอนจิ้นจอภาพใหม่ของชิป A15 Bionic, GPU ที่เร็วขึ้น, โปรเซสเซอร์ร่วมที่ประมวลผลการสัมผัสอยู่ตลอดเวลา และยังออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อทำงานร่วมกับ iOS 15 ทำให้คำสั่งนิ้ว แอนิเมชั่น และกิจกรรมต่างๆ อย่างการเล่นเกมให้ความรู้สึกที่รวดเร็วและตอบสนองฉับไวยิ่งขึ้น และยังเป็นจอภาพที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ด้วยความสว่างกลางแจ้งสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 25% เป็น 1,000 นิต ผู้ใช้จึงได้เต็มอิ่มกับความละเอียด สีสัน และคอนทราสต์ที่เหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเลื่อนดูหน้าเว็บทั่วไป หรือดูวิดีโอระดับ HDR
ออกแบบใหม่ทั้งภายในและภายนอก พร้อมด้วยดีไซน์ที่ทนทาน และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นแบบก้าวกระโดด
กลุ่มผลิตภัณฑ์ Pro โฉมใหม่มาพร้อมดีไซน์พรีเมี่ยมแบบขอบแบนที่รังสรรค์ขึ้นด้วยวัสดุชั้นเยี่ยม รวมถึงขอบสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม ในสีสันอันงดงามที่ทนต่อรอยขีดข่วนและการกัดกร่อน พร้อมด้วยด้านหลังที่เป็นกระจกผิวด้าน ทั้งสองรุ่นมีจำหน่ายใน 4 สีสันสุดโดดเด่น รวมถึงสีเซียร์ร่าบลูใหม่
ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิวเพื่อให้ได้สีที่งดงามและทนทาน นอกจากนี้ทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังได้รับการปกป้องด้วยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น
อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ จึงมีความทนทานและทนต่อการตกกระแทกได้เป็นอย่างดี และทั้งสองรุ่นก็เว้นที่สำหรับใส่ระบบกล้อง TrueDepth เล็กลงถึง 20% จึงมีพื้นที่ในการดูมากขึ้น ในขณะที่ยังคงอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย อย่าง Face ID ซึ่งเป็นวิธีการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ปลอดภัยที่สุดในสมาร์ทโฟน ส่วนระบบกล้องหลังโดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่ที่มาพร้อมขอบสแตนเลสสตีลล้อมรอบเลนส์ที่เป็นผลึกแซฟไฟร์แต่ละตัว และที่สำคัญกลุ่มผลิตภัณฑ์ Pro ยังออกแบบมาให้ทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมเพื่อปกป้องตัวเครื่องจากของเหลวทั่วไปที่หกใส่
ภายในตัวเครื่องมีชิป A15 Bionic รวมถึงส่วนประกอบที่ประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น และการจัดสรรพลังงานอย่างลงตัว ซึ่งเป็นจริงได้จากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ส่งผลให้แบตเตอรี่ในรุ่น Pro ทั้งสองใช้งานได้นานตลอดวัน6 ในขณะที่ iPhone 13 Pro Max มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone โดยที่ iPhone 13 Pro จะใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro ถึง 1.5 ชั่วโมง ส่วน iPhone 13 Pro Max จะใช้งานในหนึ่งวันได้นานกว่า iPhone 12 Pro Max ถึง 2.5 ชั่วโมง
ประสบการณ์ระดับ 5G ในหลายที่มากขึ้น
โลกกำลังก้าวสู่ยุคของ 5G อย่างรวดเร็ว และ iPhone ก็พร้อมมอบประสบการณ์ 5G สุดล้ำที่จะพลิกโฉมวิธีที่ผู้ใช้ต่อติดถึงกัน แชร์ และสนุกเพลิดเพลินกับคอนเทนต์ เพราะมีฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 Pro เพื่อให้รองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้น จึงทำงานบน 5G ได้หลายที่มากขึ้น ครอบคลุมยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพการโทรที่ดีขึ้นด้วย และภายในสิ้นปี 2021 การรองรับ 5G บน iPhone ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ครอบคลุมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 200 รายทั่วโลกใน 60 ประเทศและภูมิภาค
โดยประสบการณ์ที่ผู้ใช้จะได้สัมผัสนั้นมีตั้งแต่การสตรีมวิดีโอด้วยคุณภาพที่สูงขึ้นบนแพลตฟอร์มโปรด การเล่นเกมแบบหลายผู้เล่นที่สนุกตื่นเต้นยิ่งขึ้น ความเร็วในการดาวน์โหลดและอัปโหลดที่สูงขึ้น และอีกมากมาย ยิ่งกว่านั้นเมื่อ SharePlay8 ใน iOS 15 มาอยู่บน 5G แล้ว ก็จะช่วยให้ผู้ใช้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันได้อย่างทรงพลัง อย่างการดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีแบบ HDR ไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนขณะโทร FaceTime และยังมีโหมด “ข้อมูลอัจฉริยะ” ที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างชาญฉลาดโดยการปรับความเร็วของ iPhone มาอยู่ที่ LTE เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G
มาพร้อม iOS 15
iOS 15 ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน iPhone ด้วยวิธีใหม่ๆ ในการต่อติดกับทุกคน พร้อมด้วยคุณสมบัติอันทรงพลังที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถโฟกัส สำรวจ และทำอะไรได้อีกมากมายด้วยระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์ นอกจากนี้การโทร FaceTime ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นด้วยระบบเสียงตามตำแหน่งและโหมดภาพถ่ายบุคคลใหม่ และมีโหมดโฟกัสใหม่ที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิ
รวมถึงการแจ้งเตือนโฉมใหม่ และคุณสมบัติ “ข้อความในรูปภาพ” ที่ใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ Apple Maps มาพร้อมวิธีใหม่ๆ ในการนำทางและสำรวจโลกด้วยประสบการณ์การขับขี่ในเมืองแบบ 3 มิติ และเส้นทางการเดินในแบบความจริงเสริม
ส่วนแอปสภาพอากาศก็ได้รับการออกแบบใหม่โดยมีทั้งแผนที่เต็มหน้าจอและการแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแบบกราฟิกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่แอปกระเป๋าสตางค์รองรับกุญแจบ้านแล้ว และยังมีการควบคุมด้านความเป็นส่วนตัวใหม่ๆ ใน Siri, เมล และอีกหลายที่ทั่วทั้งระบบเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
iPhone กับสิ่งแวดล้อม
ทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max นั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้แร่โลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิลทั้งหมด 100% ในแม่เหล็กอย่างที่ใช้ใน MagSafe รวมถึงการใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% ในบัดกรีของแผงวงจรหลัก และในบัดกรีของหน่วยจัดการแบตเตอรี่ ซึ่งอย่างหลังถือเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังเริ่มใช้ทองรีไซเคิล 100% ในการเคลือบแผงวงจรหลัก รวมถึงสายไฟในกล้องหน้าและกล้องหลังด้วย ส่วนบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบใหม่นั้นก็เลิกใช้พลาสติกหุ้มชั้นนอกโดยสิ้นเชิง จึงสามารถหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกได้ถึง 600 เมตริกตัน และทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายของบริษัทมากยิ่งขึ้น นั่นคือการเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025
ราคาและการวางจำหน่ายของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max
ราคา iPhone 13 Pro (กราไฟต์, ทอง, เงิน และ เซียร์ร่าบลู)
- iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 128GB ราคา 38,900 บาท
- iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 256GB ราคา 42,900 บาท
- iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 512GB ราคา 50,900 บาท
- iPhone 13 Pro ขนาดความจุ 1TB ราคา 58,900 บาท
ราคา iPhone 13 Pro Max (กราไฟต์, ทอง, เงิน และ เซียร์ร่าบลู)
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 128GB ราคา 42,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 1TB ราคา 62,900 บาท
สำหรับใครที่สนใจสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เริ่มวางจำหน่าย 8 ตุลาคมเป็นต้นไป ส่วนราคา่จากผู้ให้บริการ รอติดตามต่อไปอีกไม่นานเกินรอ