อีกไม่กี่วันนับจากแอปเปิลก็จะจัดงานอีเว้นท์ใหญ่ขึ้นอีกครั้ง และแน่นอนว่ามันคือการเปิดตัว iPhone 14 series อย่างเป็นทางการ
วันนี้เราจะมาดู เปรียบเทียบ iPhone 13 กับ iPhone 14 กันว่ามีข้อมูลด้านสเปคที่ต่างกันมากน้อยแค่ไหน ควรอัพเกรดหรือไม่ หากต้องการเปลี่ยนจะเป็นรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าอย่าง iPhone 13 ดี
นับถอยหลังอีกไม่กี่วันนับจากวันนี้เราก็จะได้เห็นแอปเปิลเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง iPhone 14 และ iPhone 14 Max อย่างเป็นทางการอีกครั้ง และแน่นอนว่าการมาของ iPhone ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็จะมาแทนที่ iPhone 13 ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงแบตเตอรี่ให้ใช้งานดีขึ้นและเลือกใช้ชิป A15 ที่ปรับปรุงใหม่แทนการเปลี่ยนรุ่นใหม่ และฟีเจอร์สูงกว่า iPhone SE
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีดีกว่าแค่การเปลี่ยนหมายเลขหรือไม่ วันนี้เรามีคำแนะนำและบทวิเคราะห์ของ www.macrumors.com ที่จะช่วยเราตอบคำถามว่าควรตัดสินใจอย่างไรใน iPhone รุ่นใหม่หากต้องการเปลี่ยนมือถือใหม่ในครั้งนี้
เปรียบเทียบ iPhone 13 และ iPhone 14
มาดูกันครับว่ามันมีอะไรความคล้ายคลึงกันบ้างใน iPhone 13 และ iPhone 14
ก่อนที่จะไปดูถึงข้อที่แตกต่างกันเรามาดูสิ่งที่เหมือนกันของทั้งคู่ดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง
- หน้าจอแบบ OLED Super Retina XDR รองรับ HDR, True Tone, P3 wide color ความสว่าง 800 nits
- Face ID
- การเชื่อมต่อ 5G ความเร็ว 6GHz หรือ mmWave ในหสหรัฐฯ
- ชิป A15 Bionic
- รองรับซิมการ์ดคู่ และมี eSIM ใส่ได้ 2 เบอร์พร้อมกัน
- กล้องหลังมุมกว้าง F/1.6
- รองรับโหมดถ่ายภาพครบทั้ง Night mode, Deep Fusion, True Tone flash พร้อมกับ Slow Sync, Portrait mode, Smart HDR 4, Photographic Styles
- วิดีโอบันทึกได้ทั้ง 4K 60FPS, HDR แบบ 4K Dolby Visoion, Audio Zoom Slo-mo ที่ 240 FPS มีทั้ง Night Mode, Time-Lapse และอื่นๆ
- Cinematic Mode
- กระจกบานหน้าแบบ Ceramic Shield
- กันน้ำแบบ IP68
- วัสดุรอบเครื่องเป็นอะลูมิเนียม ระดับใช้ทำยานอวกาศ
- รองรับชาร์จไฟไร้สายและ MagSafe
- ช่อง Lightning
- คาดว่าจะมีสีให้เลือกทั้ง Starlight, Midnight และ สีแดง
ที่นี้มาดูกันว่าจะแตกต่างกันจุดไหนบ้างมาดูกัน
- ขนาดหน้าจอของรุ่น iPhone 13 จะอยู่ที่ 4 นิ้ว และ 6.1 นิ้ว แต่สำหรับ iPhone 14 จะขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว
- ขุมพลัง A15 แม้จะเหมือนกันแต่ว่าใน iPhone 14 จะพัฒนาให้เป็นแบบ 5 Core สำหรับ GPU
- RAM จะมากขึ้นใน iPhone 14 โดยเป็นขนาด 6GB แบบ LPDDR 4X
- กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล F/1.8 ในตัวหลัก
- กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล F/1.9 สำหรับกล้องหน้ามีระบบ Auto Focus
- รุ่นใหม่จะรองรับ Wi-Fi 6E
- ชิปใหม่ของ iPhone 14 จะรองรับ 5G ที่สามารถประหยัดพลังงานได้ดีมากขึ้น
- ฟีเจอร์รองรับเครือข่ายผ่านดาวเทียมในกรณีฉุกเฉิน
- สีสันมีให้เลือกทั้ง Starlight, Midnight, ฟ้า, ม่วง และ PRODUCT(RED)
คาดว่า iPhone 14 จะมีการอัปเกรดที่สำคัญมากกว่า iPhone 13 ในเรื่องของหน่วยความจำที่มากขึ้นและกล้องที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ต่อกันที่ความแตกต่าง iPhone 13 และ iPhone 14
ตัวเลือกขนาดใหม่: Mini vs. Max
หลังจากการขาย iPhone 12 mini และ iPhone 13 mini ที่ขาดความดแจ่มใสซึ่งทั้งคู่มีหน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว มีรายงานว่า Apple วางแผนที่จะยุติการผลิต iPhone ที่มีรูปแบบขนาดเล็กและแนะนำรุ่นที่ใหญ่กว่าเพื่อเข้าแทนที่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์
“iPhone 14 Max” คาดว่าจะอยู่เหนือ iPhone 14 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์และมีหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว เช่น iPhone 12 Pro Max และ iPhone 13 Pro Max ในลักษณะเดียวกับที่ iPhone “mini” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้นำเสนอคุณลักษณะทั้งหมดเช่นเดียวกับรุ่น iPhone 12 และ iPhone 13 ในขนาดมาตรฐาน ส่วน iPhone 14 Max คาดว่าจะนำเสนอคุณสมบัติทั้งหมดเช่นเดียวกับ iPhone 14 มาตรฐาน แต่แต่มีทางเลือกคิอ จอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าจะมีรายงานว่าไม่มี “iPhone 14” mini แต่ iPhone 14 Max จะมีตัวเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ iPhone ใหม่ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น แต่ไม่ต้องการคุณสมบัติ “Pro” เช่น จอแสดงผล ProMotion และกล้องเทเลโฟโต้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในหมวดผลิตภัณฑ์ iPhone ในปีนี้ iPhone 14 Max อาจเป็นตัวขายหลักของ iPhone 14 Series ครั้งนี้
การออกแบบและตัวเลือกสี
ทั้ง iPhone 13 และ iPhone 14 คาดว่าจะดีไซน์ตัวเครื่องขอบเป็นเหลี่ยมเหมือนเดิม มีแถบอะลูมิเนียมแบนรอบด้านข้าง กล้องหลังแนวนอนและกระจกขัดเงาเพียงชิ้นเดียวที่ด้านหลัง
มีข่าวลือว่า iPhone 14 และ iPhone 14 Max มีให้เลือกหลายสี ได้แก่ สีดำ สีขาว สีฟ้า สีแดง และสีม่วง สมมติว่าข่าวลือเกี่ยวกับตัวเลือกขาวดำสำหรับ iPhone 14 หมายถึง Midnight และ Starlight สีใหม่อาจหมายถึงการเลิกใช้สีชมพูและสีเขียวของ iPhone 13 ไม่รวมการเพิ่มสีในช่วงกลางของปีนี้ เช่น สีเขียวและสีเขียวอัลไพน์สำหรับ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro เมื่อต้นปีนี้ ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า iPhone 14 จะเปิดตัวพร้อมตัวเลือกสีจำนวนเท่ากันกับรุ่นก่อน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่มีการอัปเดตสีโพลีโครมเดียวกันในหลายชั่วอายุคน ตัวเลือกสีน้ำเงินและสีแดงของ iPhone 14 มีแนวโน้มที่จะได้รับการรีเฟรชเฉดสีเมื่อเทียบกับรุ่น iPhone 13 อย่างไรก็ตาม ตัวเลือกสีของ iPhone 14 อาจดูค่อนข้างคล้ายกับตัวเลือกสีของ iPhone 12 และ iPhone 13 แต่มีแนวโน้มว่าจะมีการแนะนำเฉดสีม่วงอีกครั้ง
ตัวเลือกสีม่วงสำหรับ iPhone 14 นั้นดูเป็นไปได้เนื่องจาก Apple เปิดตัว iPhone 12 และ iPhone 12 mini สีม่วงในช่วงการรีเฟรชกลางรอบในเดือนเมษายนปีที่แล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และ iMac ขนาด 24 นิ้ว, iPad mini รุ่นล่าสุด และ iPad Air รุ่นที่ 5 มีจำหน่ายในสีม่วง
ชิพ A15 Bionic
ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์คนดัง Ming-Chi Kuo ของ Apple อ้างว่าจะมีเฉพาะรุ่น iPhone 14 Pro เท่านั้นที่จะมีชิป A16 โดยรุ่นมาตรฐาน iPhone 14 และ iPhone 14 Max จะยังคงใช้ชิป A15 เหมือนกับใน iPhone 13 ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สอดคล้องกับการออกมาให้ความเห็นของ Mark Gurman แห่ง Bloomberg ที่เห็นด้วยว่า iPhone 14 รุ่นมาตรฐาน “มีแนวโน้มที่จะยึดติดกับ A15 จากปีที่แล้วหรือรุ่นอื่น”
หน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50%
นักวิเคราะห์คนดัง Ming-Chi Kuo ของ Apple เชื่อว่า iPhone 14 ทุกรุ่นจะมีหน่วยความจำ 6GB โดยรุ่น iPhone 14 มาตรฐานมีหน่วยความจำ LPDDR 4X และ iPhone 14 Pro รุ่นที่มีหน่วยความจำ LPDDR 5
ปัจจุบัน iPhone 13 mini และ iPhone 13 มีหน่วยความจำ 4GB ในขณะที่ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มีหน่วยความจำ 6GB แล้ว แม้ว่า Kuo แนะนำว่า iPhone 14 ทุกรุ่นจะมีหน่วยความจำ 6GB แต่หน่วยความจำ LPDDR 5 ของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะเร็วขึ้นสูงสุดครึ่งเท่าและประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมถึง 30%
และถ้าหน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ใน iPhone 14 และ iPhone 14 Max สามารถเปิดแอปและแท็บเบราว์เซอร์ในพื้นหลังได้มากขึ้นเพื่อให้เริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น ให้นักพัฒนามีพื้นที่มากขึ้นในการสร้างแอปที่ทรงพลังและมีขนาดตัวแอปใหญ่
ปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่
iPhone 14 และ iPhone 14 Max สามารถยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ด้วยชิป 5G ใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ชิป 5G RF ของ iPhone 14 ได้รับการกล่าวขานว่าประดิษฐ์ด้วยกระบวนการ 6nm ของ TSMC ทำให้ชิปมีขนาดเล็กลงและสิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง กระบวนการ RF ขนาด 6nm ช่วยให้ชิปใช้พลังงานน้อยลงทั้งในย่านความถี่ sub-6GHz และ mmWave 5G ในขณะที่ยังคงให้ประสิทธิภาพในระดับสูง
นอกจากจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว การลดขนาดส่วนประกอบเครื่องรับส่งสัญญาณ RF ขนาดใหญ่ภายใน iPhone นั้นคาดว่าจะเพิ่มพื้นที่ว่างภายในเครื่อง จนสามารถเพิ่มพื้นที่สำหรับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและการย่อขนาดชิป RF ของ iPhone 14 จะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่โดยรวมดีขึ้น
การเชื่อมต่อ Wi-Fi 6E
ตามกระแสข่าวลือที่ออกมา คาดว่า iPhone 14 ทุกรุ่นจะรองรับ Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 6E นำเสนอคุณสมบัติและความสามารถของ Wi-Fi 6 ซึ่งรวมถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้น เวลาแฝงที่ต่ำกว่า และอัตราการรับส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น ขยายไปสู่ย่านความถี่แบบ 6 GHz คลื่นความถี่เพิ่มเติมนี้ให้น่านฟ้ามากกว่า Wi-Fi 2.4GHz และ 5GHz ที่มีอยู่ ส่งผลให้แบนด์วิดท์เพิ่มขึ้นและสัญญาณรบกวนน้อยลง
การปรับปรุงกล้องอัลตร้าไวด์ (Ultra Wide)
มีรายงานว่า iPhone 14 รุ่นต่างๆ จะยังคงมาพร้อมกล้องไวด์ 12 ล้านพิกเซลของ iPhone 13 เหมือนเดิม (ตามข่าวลือบางแหล่งบอกว่าใน iPhone 14 Pro จะมาพร้อมกับกล้องไวด์ 48 ล้านพิกเซลใหม่) แน่นอนว่าแม้จะเป็นของเดิมแต่ iPhone รุ่นมาตรฐานทั้งหมดในปี 2022 อาจมีการปรับปรุงกล้องอัลตร้าไวด์
ทั้งนี้ใน iPhone 13 Pro เปิดตัวกล้องอัลตร้าไวด์ ƒ/1.8, ชิ้นเลนส์ 6 ชั้นใหม่พร้อมโฟกัสอัตโนมัติ ในปีนี้ มีข่าวลือว่ากล้อง ƒ/1.8 Ultra Wide ที่ปรับปรุงใหม่นี้จะมีวางจำหน่ายใน iPhone 14 รุ่นมาตรฐานทั้งสองรุ่น
มีการปรับปรุงกล้องหน้า
นอกจากการปรับปรุงระบบกล้องด้านหลังแล้ว ในส่วนของกล้องหน้าของ iPhone 14 ยังมีข่าวลือว่าจะมีการปรับปรุงที่สำคัญยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone 14 ทั้งสี่รุ่นมีแนวโน้มที่จะมีระบบกล้องหน้าที่ได้รับการอัพเกรดพร้อมโฟกัสอัตโนมัติและรูรับแสงกว้าง ƒ/1.9 เมื่อเปรียบเทียบแล้ว กล้องหน้าใน iPhone 13 ทุกรุ่นมีโฟกัสคงที่และรูรับแสง ƒ/2.2
ด้วยรูรับแสงกว้างขึ้นจะช่วยให้แสงผ่านเลนส์และไปถึงเซนเซอร์ได้มากขึ้น Kuo ได้กล่าวว่าการอัพเกรดกล้องเหล่านี้อาจส่งผลให้เอฟเฟกต์ระยะชัดลึกดีขึ้นสำหรับภาพถ่ายและวิดีโอในโหมดแนวตั้ง ในขณะที่โฟกัสอัตโนมัติสามารถเสริมโฟกัสระหว่างการโทรผ่านวิดีโอแบบ FaceTime และ Zoom
สรุปปิดให้สำหรับใครที่กำลังคิดจะเปลี่ยนเป็น iPhone 14
การอัพเกรด iPhone 14 เหนือ iPhone 13 ดูเหมือนจะการแกั้งานของเดิมเป็นส่วนใญ่ โดยให้การปรับแต่งในแง่ของความสามารถในการถ่ายภาพและวิดีโอ หน่วยความจำที่มากขึ้น รวมถึงการเชื่อมต่อ แต่การอัพเกรดที่สำคัญกว่านั้นอาจรวมถึงกล้องอัลตร้าไวด์ กล้องหน้า และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น แต่แต่การวิเคราะก็ถือว่าแตกต่างจาก iPhone 13 มากพอตัว
อย่างไรก็ตามในตัวของ iPhone 13 ยังคงมีความสามารถสูงสำหรับการใช้งานทุกวัน และเป็นรองจาก iPhone 14 ที่มีการนำ iPhone 13 มาปรับปรุง เช่น ชิป A15, จอแสดงผล OLED Super Retina XDR, Ceramic Shield, โหมดกลางคืน, MagSafe และ การกันน้ำระดับ IP68 ที่เรียกได้ว่าเหมือนกันอยู่
ทั้งนี้คงต้องรอการเปิดตัวของ iPhone 14 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันพุธที่ 7 กันยายนด้วยสโลแกน “Far out” การสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับอุปกรณ์จะเริ่มในสัปดาห์นั้น โดยเครื่องแรกอาจถึงมือลูกค้าประมาณวันศุกร์ที่ 16 กันยายน
ข้อมูล :www.macrumors.com, ภาพ :atuos_user