Samsung ได้เปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด ได้แก่ Galaxy Watch 7 และ Galaxy Watch Ultra เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ของบริษัท
โดยมีการเปลี่ยนแปลงชื่อรุ่นอีกครั้ง หลังจากที่เคยใช้คำว่า “Classic” และ “Pro” มาก่อนหน้านี้ ปัจจุบันได้นำคำว่า “Ultra” มาใช้เพื่อสื่อถึงนาฬิกาอัจฉริยะระดับสูงสุดของ Samsung
บทความนี้จะนำเสนอการเปรียบเทียบอย่างละเอียดระหว่าง Galaxy Watch Ultra และ Galaxy Watch 7 เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความแตกต่างและเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง แม้ว่าการเปรียบเทียบนี้จะยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากยังไม่มีผลการทดสอบประสิทธิภาพและคะแนนต่างๆ แต่ก็จะช่วยให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของทั้งสองรุ่นได้เป็นอย่างดี
ความแตกต่างที่สำคัญของทั้งสองรุ่น
- ขนาด: Galaxy Watch Ultra มีขนาด 47 มม. ในขณะที่ Galaxy Watch 7 มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 40 มม. และ 44 มม.
- วัสดุตัวเรือน: Galaxy Watch Ultra ใช้ไทเทเนียมเกรด 4 ซึ่งมีความแข็งแรงและทนทานสูง ส่วน Galaxy Watch 7 ใช้อะลูมิเนียมซึ่งมีน้ำหนักเบากว่า
- น้ำหนัก: Galaxy Watch Ultra หนัก 60.5 กรัม ส่วน Galaxy Watch 7 หนัก 33.8 กรัม (44 มม.) และ 28.8 กรัม (40 มม.)
- แบตเตอรี่: Galaxy Watch Ultra มีความจุ 590 mAh ส่วน Galaxy Watch 7 มีความจุ 425 mAh (44 มม.) และ 300 mAh (40 มม.)
- ระดับกันน้ำ: Galaxy Watch Ultra รองรับ 10ATM + IP68 ซึ่งสามารถใช้งานได้ที่ความลึกถึง 100 เมตร ส่วน Galaxy Watch 7 รองรับ 5ATM + IP68 ซึ่งใช้งานได้ที่ความลึกถึง 50 เมตร
การออกแบบและขนาด
Galaxy Watch Ultra มีการออกแบบที่แข็งแกร่งและทนทานมากขึ้น โดยใช้วัสดุไทเทเนียมคุณภาพสูง เหมาะสำหรับการใช้งานกลางแจ้งและกิจกรรมผจญภัย ตัวเรือนมีขนาดใหญ่กว่าและหนักกว่า แต่ก็ให้ความรู้สึกมั่นคงและแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีปุ่มฟังก์ชันพิเศษที่สามารถกำหนดการทำงานได้ตามต้องการ
ในขณะที่ Galaxy Watch 7 มีรูปลักษณ์ที่บางเบาและสวยงาม เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน มีให้เลือกสองขนาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่หลากหลาย ตัวเรือนอะลูมิเนียมช่วยให้น้ำหนักเบาและสวมใส่สบาย
ทั้งสองรุ่นมีหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 1.5 นิ้ว ความละเอียด 480×480 พิกเซล (สำหรับ Galaxy Watch Ultra และ Galaxy Watch 7 ขนาด 44 มม.) ส่วนรุ่น 40 มม. ของ Galaxy Watch 7 มีหน้าจอขนาด 1.3 นิ้ว ความละเอียด 432×432 พิกเซล ทุกรุ่นรองรับการแสดงผลแบบ Always On
ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์
ทั้ง Galaxy Watch Ultra และ Galaxy Watch 7 ใช้ระบบปฏิบัติการ Wear OS 5 ล่าสุด ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ทรงพลังที่สุดของ Wear OS จนถึงปัจจุบัน ทำงานร่วมกับชิป Exynos W1000 ที่ผลิตด้วยกระบวนการ 3 นาโนเมตร ซึ่งเป็นชิป Exynos ตัวแรกสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาดเล็กนี้
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเซ็นเซอร์ BioActive รุ่นใหม่ที่รวมเซ็นเซอร์หลายชนิดไว้ด้วยกัน ได้แก่ เซ็นเซอร์วัดสัญญาณชีวภาพแบบออปติคอล, เซ็นเซอร์วัดสัญญาณไฟฟ้าหัวใจ และเซ็นเซอร์วิเคราะห์อิมพีแดนซ์ทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ, มาตรความเร่ง, บารอมิเตอร์, ไจโรสโคป, เซ็นเซอร์วัดสนามแม่เหล็กโลก และเซ็นเซอร์วัดแสง
ฟีเจอร์ด้านสุขภาพและฟิตเนสที่สำคัญ ได้แก่:
- การติดตามการออกกำลังกายมากกว่า 100 รูปแบบ
- ฟีเจอร์สร้างโปรแกรมการออกกำลังกายแบบผสมผสาน
- การวัดองค์ประกอบร่างกาย เช่น ดัชนีมวลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมัน และมวลกล้ามเนื้อ
- การตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อัตราการเต้นของหัวใจต่ำ และจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ โดยใช้เทคโนโลยี AI
- การวัดความดันโลหิต (เฉพาะในบางประเทศที่ได้รับการรับรองระบบ)
- ดัชนี AGEs (Advanced Glycation End Products) เพื่อติดตามสุขภาพเมตาบอลิก
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ เช่น การตอบกลับข้อความด้วย AI, การควบคุมด้วยท่าทางแบบไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ และการชำระเงินผ่าน Samsung Wallet
Galaxy Watch Ultra มีฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับนักผจญภัย เช่น:
- ช่วงการทำงานที่กว้างขึ้น ตั้งแต่ 500 เมตรใต้ระดับน้ำทะเลไปจนถึง 9,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
- ฟีเจอร์ Functional Threshold Power (FTP) สำหรับนักปั่นจักรยาน
- ฟีเจอร์ Multi-sport tile สำหรับการติดตามกิจกรรมหลายประเภท
- โซนอัตราการเต้นของหัวใจแบบปรับเฉพาะบุคคล
- ปุ่มฟังก์ชันด่วนที่สามารถกำหนดการทำงานได้
- ฟีเจอร์สัญญาณเตือนภัยฉุกเฉิน
- โหมดกลางคืนสำหรับการเดินป่ายามค่ำคืน
- ความสว่างหน้าจอสูงสุดถึง 3,000 นิต เมื่ออยู่กลางแจ้งในที่ที่มีแสงแดดจ้า
แบตเตอรี่และการชาร์จ
Galaxy Watch Ultra มีแบตเตอรี่ขนาด 590 mAh ซึ่ง Samsung อ้างว่าให้ระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานที่สุดในบรรดานาฬิกา Galaxy Watch ทั้งหมด โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 100 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน และ 48 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงานขณะออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานปกติ คาดว่าจะสามารถใช้งานได้ประมาณ 24-48 ชั่วโมง
Galaxy Watch 7 มีแบตเตอรี่ขนาด 425 mAh สำหรับรุ่น 44 มม. และ 300 mAh สำหรับรุ่น 40 มม. คาดว่าจะสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันในการใช้งานปกติ
ทั้งสองรุ่นรองรับการชาร์จไร้สายแบบ WPC ซึ่งหมายความว่าสามารถชาร์จได้จากอุปกรณ์ชาร์จไร้สายที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Qi และยังสามารถชาร์จผ่านฟีเจอร์ชาร์จย้อนกลับจากสมาร์ทโฟน Galaxy ได้อีกด้วย
ราคาของ Samsung Galaxy Watch Ultra และ Galaxy Watch 7
Galaxy Watch 7 มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น แบ่งเป็นรุ่น Bluetooth และ LTE สำหรับแต่ละขนาด ส่วน Galaxy Watch Ultra มีเฉพาะรุ่น LTE เท่านั้น ราคาเริ่มต้นมีดังนี้:
Galaxy Watch7 จะมีสองขนาด คือ 40 มม. และ 44 มม. Galaxy Watch7 ขนาด 40 มม. มีสีเขียวและสีครีม ในขณะที่ Galaxy Watch7 44 มม. จะมีสีเขียว
Galaxy Watch7 และ Galaxy Watch Ultra จะพร้อมให้สั่งซื้อล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม พร้อมโปรโมชัน ลด 15% บนช่องทางออนไลน์ Samsung.com, Lazada, Shopee Official Store จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม
ราคาเปิดตัวอย่างทางการสำหรับ Galaxy Watch Ultra ราคา 23,900 บาท, Galaxy Watch7 ขนาด 44mm ราคา 12,900 บาท และ ขนาด 40mm ราคา 10,900 บาท
สรุปทั้งหมด Samsung Galaxy Watch Ultra และ Galaxy Watch 7
Samsung Galaxy Watch Ultra เหมาะสำหรับนักกีฬาและคนที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงผู้ที่ต้องการนาฬิกาที่ทนทานและแข็งแรงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่ชอบการผจญภัยและต้องการฟีเจอร์พิเศษสำหรับกิจกรรมนอกบ้าน ตลอดจนผู้ที่ต้องการหน้าจอขนาดใหญ่และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานกว่า
ส่วน Galaxy Watch 7 เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการนาฬิกาอัจฉริยะสำหรับชีวิตประจำวัน เหมาะกับคนที่ชอบดีไซน์ที่บางและน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟังก์ชันการติดตามสุขภาพและฟิตเนสพื้นฐาน รวมถึงผู้ที่ต้องการนาฬิกาที่มีราคาย่อมเยากว่า
อ้างอิง – Phonearena, เรียบเรียง – ทีมงานเทคเฮ้าส์