เสียวหมี่ ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ประกาศเปิดตัว Mi 9T Pro สมาร์ทโฟนเรือธงใหม่ล่าสุดในตระกูล Mi 9 มอบความเร็วและแรงที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับเดียวกัน
สมาร์ทโฟนเรือธง Xiaomi Mi 9T Pro ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Qualcomm® Snapdragon™ 855 ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Octa-Core ความเร็วสูงสุด 2.84GHz และเทคโนโลยีหน่วยประมวลผลกราฟฟิกล่าสุด GPU Qualcomm® Adreno™ 640 เมื่อทำงานร่วมกันหน่วยประมวลผล CPU และ GPU จะทำงานได้เร็วขึ้น 45 และ 25 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
ซึ่งมากกว่า Qualcomm® Snapdragon™ 845 ของรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีระบบระบายความร้อน 8-layer graphite-stack และ bi-directional cooling system ที่ระบายความร้อนออกจากตัวเครื่องเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลายาวนานได้อย่างไร้กังวล
Mi 9T Pro มาพร้อมกับฟีเจอร์ Game Turbo 2.0 เพื่อเอาใจคอเกมให้ได้รับประสบการณ์การเล่นเกมถึงขีดสุด ด้วยการเพิ่ม เพิ่มความเร็วการในการตอบสนองบนหน้าจอแสดงผล คุณภาพเสียง การเชื่อมต่อ รวมถึงการใช้สายสนทนาระหว่างเล่นเกม โดยอัตราความเร็วในการตอบสนองบนหน้าจอแสดงผลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 180 Hz ในขณะที่อัตราการตอบสนองจากการแตะ และสัมผัสหน้าจอรวดเร็วขึ้นที่ 70 มิลลิวินาที ซึ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมให้ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกระดับ
Xiaomi Mi 9T Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh ให้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ทั้งวัน ตัวเครื่องยังรองรับระบบชาร์จเร็ว 27 วัตต์ที่ชาร์จได้ 58 เปอร์เซ็นต์ในเวลา 30 นาที และชาร์จเต็มในเวลาเพียง 73 นาที
ตื่นตาตื่นใจกับหน้าจอแสดงผล AMOLED ไร้รอยบาก ดีไซน์กระจกหลังโค้งลวดลายเปลวเพลิงเพิ่มความโดดเด่นอีกขั้น
Xiaomi Mi 9T Pro มาพร้อมกล้องหน้า Pop-Up Selfie ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ที่ซ่อนในตัวเครื่องช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้สมาร์ทโฟนไร้รอยบากอย่างแท้จริงบนหน้าจอ AMOLED FHD+ ขนาด 6.39 นิ้ว ในอัตราส่วนหน้าจอเมื่อเทียบกับตัวเครื่องขนาด 91.9 เปอร์เซ็นต์ มาพร้อมการตั้งค่าการควบคุมแสง DC brightness control ที่ปรับแสงสว่างบนหน้าจอในที่มืดให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติและกำจัดไฟกระพริบบนหน้าจอในสภาวะแสงน้อย และฟีเจอร์ Sunlight display 2.0 ที่ช่วยให้หน้าจอแสดงผลสวยคมชัดแม้ในสภาวะแดดจ้า
นอกจากนี้หน้าจอของ Mi 9T Pro ยังมาพร้อมการปลดล็อคด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอที่ได้รับการพัฒนาเป็นรุ่นที่ 7 โดยเพิ่มขนาดของเซ็นเซอร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการอ่านลายนิ้วมือดียิ่งขึ้น และการปลดล็อคมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
กระจกหน้าจอและตัวเครื่องด้านหลังครอบด้วยกระจก Corning® Gorilla® Glass 5 ที่ออกแบบมาให้ถือใช้งานง่ายและถนัดมือ มาพร้อมเทคโนโลยี Nano-Holographic ทำให้ส่วนกระจกมุมโค้งของ Mi 9T Pro ทั้ง 4 ด้านสะท้อนลวดลายได้อย่างโดดเด่นสะดุดตาในสี Flame Red และ Glacier Blue และยังมีสี Carbon black สำหรับผู้ที่ชอบความเรียบง่ายคลาสสิกอีกด้วย Mi 9T Pro รองรับช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ระบบ Multi-function NFC และ GPS คลื่นความถี่คู่
คมชัดยิ่งกว่า ด้วยกล้องหลัง 3 ตัว AI ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล
Mi 9T Pro มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว AI ความละเอียดกล้องสูงสุด 48 ล้านพิกเซล กล้องจากเลนส์ ultra-wide portrait 13 ล้านพิกเซล และกล้องจากเลนส์ telephoto 8 ล้านพิกเซล โหมดถ่ายภาพนิ่งกลางคืนและโหมดบันทึกภาพเคลื่อนไหว Motion tracking ช่วยให้บันทึกภาพได้คมชัดสูงสุดในทุกสถานการณ์
นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายวีดีโอได้อย่างลื่นไหลด้วยการอัพเดทซอฟต์แวร์ UHD 4K ที่สามารถบันทึกภาพได้ 60 เฟรมภาพต่อ 1 วินาที
คนรักการถ่ายภาพจะต้องชื่นชอบกับกล้องหน้า Pop-Up Selfie ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ที่ถ่ายภาพเซลฟี่ได้คมชัดทุกระดับโดยไม่กวนพื้นที่หน้าจอแม้แต่น้อย ทั้งยังมาพร้อมโหมดพาโนรามาสำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่แบบกลุ่ม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเพื่อนของคุณทุกคนในเฟรม จะอยู่ในภาพเดียวกันทั้งหมดในการกดถ่ายเพียงครั้งเดียวอย่างแน่นอน
ราคาและการจัดจำหน่าย
Mi 9T Pro รุ่น RAM 6GB+128GB มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Flame Red, Glacier Blue และ Carbon black จำหน่ายในราคา 14,990 บาท ส่วนรุ่น RAM 6GB+64GB มีสี Glacier Blue จำหน่ายในราคา 13,990 บาท ซึ่งทั้ง 2 รุ่นจะเริ่มเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการผ่าน แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ เจดีเซ็นทรัล หรือ JD CENTRAL ตั้งแต่วันนี้ ถึง 23 กันยายน 2562 พร้อมรับฟรี ของแถมสุดพิเศษ Mi Smart Band 4 และ Mi Bluetooth Headset Mini (White) มูลค่า 1,989 บาท บาท และยังสามารถเลือกผ่อนผ่านบัตรเครดิต 0% นานสูงสุด 10 เดือน
ในขณะเดียวกันเสียวหมี่จะเปิดจำหน่าย Mi 9T Pro ทั้ง 2 รุ่น ทั้งรุ่น RAM 6GB+64GB ซึ่งมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สี Glacier Blue และ Carbon black และรุ่น RAM 6GB+128GB มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Flame Red, Glacier Blue และ Carbon black ณ TGFone, BananaIT, BKK, Kingkong Phone และร้าน Mi Authorized Store ทั่วประเทศ ในราคาเพียง 13,990 บาท และ 14,990 บาท