สิ้นสุดการรอค่อยหลัง Xiaomi(เสี่ยวมี่) เปิดตัวสมาร์ทโฟนพรีเมี่ยมรุ่นใหม่  Xiaomi  Mi MIX 3 ณ พระราชวังต้องห้ามในเมืองจีนอย่างเป็นทางการ การมาของ Mi MIX 3 ถือเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของเทคโนโลยีและศิลปะที่ลงตัวมากในสมาร์ทโฟน ได้ออย่างลงตัว

Xiaomi Mi MIX 3

ถือเป็นอีกค่ายที่ขยันส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ออกมาให้ได้เห็นกันเรื่อยๆ แม้ว่าบางรุ่นจะยังไม่เข้าไทย เพราะทำขายที่จีนไม่ทันล่าสุด Xiaomi ประเทศไทยได้ทำการจัดกิจกรรมเวิร์คช้อปให้เราได้สัมผัสและลองเล่น Mi Mix 3 ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย

Xiaomi Mi MIX 3 มาพร้อมหน้าจอเต็มจอไร้ติ่งแบบ Full Screen Slider ขนาดหน้าจอขนาด 6.39 นิ้ว Super AMOLED ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซลอัตราส่วนภาพ 19.5: 9  และกระจกรอย Gorilla Glass 5 ตัวกรอบได้รับการลดขนาดลงจากรุ่นก่อนหน้าเพื่อให้ได้อัตราส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องได้มากที่สุดถึง 93.4 เปอร์เซ็นต์

ด้วยการดีไซน์การสไลด์หน้าจอ ไม่เพียงเพิ่มพื้นที่ระหว่างกล้องหน้าและเสาอากาศเท่านั้น แต่ยังช่วยการแสดงผลแบบเต็มหน้าจอสูงสุด Mi MIX 3 มี

ส่วนบนของหน้าจอตำแหน่งของกล้องหน้าและลำโพงที่ซ่อนไว้ด้านใน เมื่อต้องใช้งานต้องทำการการสไลด์ โดยการสไลด์ทำงานด้วยแบบแถบแม่เหล็ก หลังสไลด์จะเห็นว่าข้างในเป็นตำแหน่งของกล้องหน้าคู่, ระบบเซ็นเซอร์ และช่องลำโพงเสียงอยู่ตรงกลาง

แต่หากยังไม่ไม่สไลด์ขึ้นจะเห็นเพียงรูลำโพงสำหรับการสนทนาเล็กๆ เท่านั้น

ต่อกันที่ส่วนของหน้าจอด้านล่างที่ยังคงเป็นปุ่มการสั่งงานแบบสัมผัสหลักอย่างปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮมหรือปุ่มย้อนกลับตามสไตล์ของ Xiaomi

ตัวเครื่องด้านหลังที่โค้งมนสวยทั้งสี่ด้าน ฝาหลังเซรามิคโค้งมนสวยทั้งสี่ด้าน Mi MIX 3 ยังคงเอกลักษณ์การใช้วัสดุที่ไม่เหมือนใครด้วยการออกแบบสุดพิเศษ และยังเพิ่มสีใหม่คือสีฟ้าไพลินที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคอลเลกชันเซรามิกในพิพิธภัณฑ์พระราชวังชิ้นเซรามิคเหล่านี้มีความงดงามผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถันและได้รับการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ

ด้านหลังส่วนบนเป็นตำแหน่งของกล้องหลังที่เป็นกล้องคู่ความละเอียด 12ล้านพิกเซล + 12ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นส่วนของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

ด้านหลังตัวเครื่องเป็น โลโก้ Mix สีทอง

ภาพตัวเครื่องด้านหลัง เมื่อทำการสไลด์กล้องใช้งาน

เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ที่ด้านหลัง

ด้านขวาของตัวเครื่องเป็นตำแหน่งของปุ่มเพาเวอร์เปิด-ปิดเครื่องหรือล็อกหน้าจอ และปุ่มเพิ่ม-ลด ปรับระดับเสียง

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีถาดสำหรับใส่ซิมการ์ด ซึ่งรองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ดและปุ่ม AI ผู้ช่วยอัฉริยะอยู่ด้วย หากเป็นของประเทศจีนจะเป็นปุ่มเรียกใช้งาน XiaoAI  หรือ เสี่ยวอ้าย และมีแผนที่จะให้รุ่นที่วางจำหน่ายทั่วโลกได้ใช้ในชื่อปุ่ม Google Assistant

ปุ่มผู้ช่วยอัฉริยะอยู่ถัดลงมาจากตำแหน่งของช่องใส่ซิม

ส่วนของขอบตัวเครื่องด้านบนของตัวเครื่อง เป็นตำแหน่งของไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนขณะบันทึกเสียง

ขอบของตัวเครื่อง Mi Mix 3 ด้านล่างเป็นตำแหน่งของพอร์ท USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล พร้อมด้วยลำโพงและไมโครโฟนโดยรุ่นใหม่จะไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร อีกต่อไป

มาถึงส่วนที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้คือ “กล้องหน้าสไลด์” หน้าจอเต็มจอไร้ติ่งแบบ Full Screen Slider และเราก็ไม่พลาดที่จะลองทดลองเรื่องของการสไลด์เปิด-ปิด ในส่วนของกล้อง      

หากใครนึกภาพไม่ออกจะทำงานเหมือน Nokia รุ่นเก่าๆ อย่าง Nokia 6500 Slide หรือ Nokia 5300 XpressMusic ที่สไลด์ได้ดู ตอนสไลด์ก็จะมีเสียง ตึก ตึก เพลินดีมาก

กล้องด้านหน้าขนาด 24 ล้านพิกเซล + 2 ล้านพิกเซล มีเซ็นเซอร์หลักของ Sony IMX576 สามารถจับภาพได้แม่นยำกว่าที่เคย ในสภาพแสงน้อย เซนเซอร์จะใช้เทคโนโลยีซุปเปอร์พิกเซลเพื่อรวมข้อมูลจากสี่พิกเซลให้เป็นพิกเซลเดียวที่มีขนาดใหญ่ถึง 1.8 µm  ช่วยเพิ่มความคมชัด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ร่มและมีแสงน้อย เซ็นเซอร์รอง 2M ยังช่วยจับข้อมูลในระดับลึกเพื่อการถ่ายภาพ โหมด AI หน้าชัดหลังเบลอ (Bokeh effect) การพัฒนาเหล่านี้ทำให้ Mi MIX 3 ได้คะแนนจาก DxO Mark ถึง 108 คะแนน และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ถ่ายภาพได้ดีที่สุดในโลก

ส่วนของแถบสไลด์ในรุ่นนี้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของสมาร์ทโฟนรุ่น Mi MIX 3 ประกอบด้วยแม่เหล็กนีโอไดเมียที่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด เมื่อสัมผัสหน้าจอ กลไกแม่เหล็กจะตอบสนองในเวลาอันรวดเร็วจากปริมาณแรงกดที่เหมาะสม เสี่ยวหมี่ได้ทุ่มเทความตั้งใจอย่างมากในการพัฒนากระบวนการผลิตและตรวจสอบในห้องทดลองการใช้งานแถบสไลด์มีอายุการใช้งานมากถึง 300,000 รอบ

เทคโนโลยีสไลด์กล้องแบบ Magnetic ที่เมื่อต้องการใช้งานกล้องก็สามารถสไลด์ลงใช้งานได้ทันที

กล้องคู่ด้านหลัง 12ล้านพิกเซล + 12ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมมีฟีเจอร์เด็ดๆ อีกมากมาย เช่น การลดเสียงรบกวน,  การปรับภาพให้สวยงามในทุกแสง, AI วัดแสงและการปรับเสถียรภาพ AI ควบคู่ไปกับ OIS 4 แกนของกล้องคู่หลัง

Mi MIX 3 ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของเสี่ยวหมี่ สำหรับภาพถ่ายที่มีแสงปริมาณน้อยจนถึงแสงปกติ ทั้งกล้องคู่ด้านหลังยังมีการบันทึกวิดีโอขนาด 4K และการจับภาพวิดีโอได้ถึง 960 เฟรมต่อวินาที และด้วยคุณลักษณะพิเศษของ  AI ที่จะช่วยเพิ่มเพลงพื้นหลังได้โดยอัตโนมัติตามจังหวะการเคลื่อนไหวในวิดีโอ นอกจากนี้ยังได้คะแนนจาก DxO Mark สูงถึง 108 คะแนน

 ตัวอย่างภาพจาก Mi MIX 3  ที่ทำการทดลองโดยเว็บ www.gsmarena.com

 สรุปการความรู้สึกหลังได้ลองเล่น Xiaomi Mi MIX 3 ก่อนการเปิดตัวและวางจำหน่ายในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ

อย่างที่เกริ่นกันไปตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่าจุดเด่นของ Xiaomi Mi MIX 3 คือเรื่องของ “ดีไซน์” ที่ทางนำ Xiaomi ระบบสไลด์กลับมาให้เราได้เห็นอีกครั้ง แม้ว่ามันจะคล้ายๆ กับ OPPO Find X ของค่าย OPPO ก็ตาม แต่ระบบสไลด์ของทั้งสองค่ายใช้เทคโนโลยีคนละตัวกัน และใน ยังประกอบไปด้วย AI ผู้ช่วยอัฉริยะ ทำให้มันเป็นอีกรุ่นที่น่าซื้อหาไว้ใช้งานอีกรุ่น 

แต่ยังมีอีกเรื่องที่รู้สึกว่าน่าจะเป็นตัวเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในราคานี้คือตัวเครื่องเหมือนจะค่อนข้างหนัก คือหากได้ลองถือจะสำผัสได้ถึงเรื่องนี้(เอาเป็นว่ามันเป็นความรู้สึกส่วนตัวก็แล้วกันนะ) 

ส่วนใครที่กังวลเรื่องการสไลด์ เรื่องนี้ผมว่าหายห่วงนะเพราะเท่าที่ได้ลองเล่น Xiaomi Mi MIX 3 มันทำออกมาได้แข็งแรงและหนักแน่นดีมากๆ อย่างน้อยผมว่าช่วงระยะเวลาใช้งาน 2 ปีแรกคงไม่มีผลอะไรให้หงุดหงิดหัวใจ

Xiaomi Mi MIX 3 จะมีวางจำหน่ายทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเขียวหยก (Jade Green), สีน้ำเงิน (Sapphire Blue) และสีดำ (Onyx Black) หลายความจุให้เลือก ทั้ง RAM 6, RAM 8, RAM 10GB และหน่วยความจำ 128GB, 256GB และในกล่องยังมีอุปกรณ์ wireless charging 10W แถมมาให้อีกด้วย

 Xiaomi  Mi MIX 3  มีจำหน่าย 3 สี ประกอบไปด้วย สีเขียวหยก (Jade Green), สีฟ้าพลอย (Sapphire Blue) และสีดำนิล (Onyx Black) โดยจะเริ่มจำหน่ายในประเทศจีน วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์  โดยราคาจะอยู่ที่(ราคาในประเทศจีน)

  • 6GB + 128GB ในราคา 15,643 บาท
  • 8GB +128G ในราคา 17,066 บาท
  • 8GB + 256GB ในราคา 18,963 บาท
  • 10GB + 256GB (Palace Museum Edition) ในราคา 23,704 บาท

สเปค Xiaomi Mi Mix 3

  • ขนาดตัวเครื่อง 157.9 x 74.7 x 8.5 มม.
  • หนัก 218 กรัม
  • หน้าจอขนาด 6.39 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล แสดงผล FHD + Samsung AMOLED อัตราส่วนภาพ 19.5: 9
  • กล้องหน้าความละเอียด 24+2 ล้านพิกเซล f/2.2, เซ็นเซอร์ Sony IMX576 ขนาดพิกเซล 1.8µm ช่วยให้ถ่ายได้ดีในที่มืด
  • กล้องหลัง 12+12 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX363 f/1.8
  • กล้องมีระบบ AI
  • รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด
  • ใช้ CPU Snapdragon 845 Octa-core
  •  RAM ขนาด 6GB / 8GB / 10GB สุดท้ายไม่นำเข้าไทย
  • หน่วยความจำภายใน ความจุ 128GB / 256GB
  • ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.
  • พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
  • รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Quick Charge 4.0+
  • การชาร์จแบบไร้สาย 10W Qi Wireless Charging แถมมีแท่นใส่มาให้ในกล่อง
  • รองรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
  • รองรับระบบ AI Face Unlock
  • ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ AndroidTM 9 Pie ครอบด้วย MIUI 10
  • รองรับระบบชาร์จไว QuickCharge 4.0+
  • แบตเตอรี่ความจุ 3200mAh
  • มีให้เลือก 3 สี คือ สีเขียว Jade Green, สีน้ำเงิน Sapphire Blue, และสีดำ Onyx Black

ที่มา: www.gsmarena.com

SHARE
คนเล่าเรื่องไอที ที่เชื่อว่าการได้เดินทางและการพบปะพูดคุยกับผู้คนในสายงานต่าง ที่ไม่คุ้นเคยคือกำไรชีวิต...หลงไหลในการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้เจอเจ้าหน้าที่ ตม.
RELATED POSTS
แกะกล่อง+ลองเล่น “HUAWEI FreeBuds 4” หูฟังรุ่นใหม่ จัดเต็มฟีเจอร์ครบคุ้มค่า!
พรีวิว “realme GT 7 Pro” เรือธงสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite และระบบ AI ขั้นสูง
[เล่าเท่าที่เล่น] พรีวิว “realme 12 Pro+ 5G” สมาร์ตโฟน Portrait Master กล้องเลิศ หนึ่งเดียวในระดับราคานี้

Leave Your Reply

*