Apple เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ iPhone จะมีฟีเจอร์บางอย่างที่ให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ฟีเจอร์เหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับบริการทางการเงินหรือกฎหมายของสหรัฐอเมริกา
นี่คือ 7 ฟีเจอร์ iPhone ที่ให้ใช้เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
Apple Card เป็นบัตรเครดิตที่ Apple ออกร่วมกับ Goldman Sachs ผู้ใช้ iPhone ในสหรัฐอเมริกาสามารถสมัคร Apple Card เพื่อใช้ซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ได้ โดยจะได้รับเครดิตเงินคืน 3% สำหรับการใช้จ่ายผ่าน Apple Pay
Apple Card Savings เป็นบัญชีออมทรัพย์ที่ Apple ออกร่วมกับ Goldman Sachs ผู้ใช้ iPhone ในสหรัฐอเมริกาสามารถเปิดบัญชี Apple Card Savings เพื่อรับดอกเบี้ยเงินฝาก 1%
Apple Cash เป็นบริการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ Apple ให้บริการ ผู้ใช้ iPhone ในสหรัฐอเมริกาสามารถใช้ Apple Cash เพื่อส่งและรับเงินจากผู้อื่น
Apple Pay Later เป็นบริการผ่อนชำระที่ Apple ให้บริการ ผู้ใช้ iPhone ในสหรัฐอเมริกาสามารถใช้ Apple Pay Later เพื่อผ่อนชำระสินค้าและบริการต่างๆ โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนเป็นเวลา 6 เดือน
Wallet IDs เป็นบริการแสดงบัตรประจำตัวบน iPhone ผู้ใช้ iPhone ในสหรัฐอเมริกาสามารถใช้ Wallet IDs เพื่อแสดงบัตรประจำตัวของตนเองแก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรประจำตัวแบบกระดาษ
Roadside Assistance via Satellite หรือ “บริการรถสไลด์ 24 ชม.” เป็นฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 17 ที่ช่วยให้ผู้ใช้ iPhone สามารถขอความช่วยเหลือริมถนนได้แม้จะไม่มีสัญญาณเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi ฟีเจอร์นี้ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมของ Apple เพื่อเชื่อมต่อผู้ใช้กับผู้ให้บริการช่วยเหลือริมถนนในพื้นที่
เมื่อผู้ใช้ iPhone ต้องการความช่วยเหลือริมถนน เพียงเปิดแอป Messages แล้วเริ่มแชทใหม่กับ “Roadside” ฟีเจอร์จะแนะนำผู้ใช้ให้เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการช่วยเหลือริมถนน AAA ผู้ใช้จะต้องป้อนข้อมูลบางอย่าง เช่น หมายเลขโทรศัพท์และตำแหน่งปัจจุบัน จากนั้น AAA จะส่งช่างมาช่วยเหลือ
ฟีเจอร์ Roadside Assistance via Satellite มีให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และใช้งานได้กับ iPhone 14 และ iPhone 15 ฟีเจอร์นี้ฟรีสำหรับผู้ใช้ iPhone สองปีหลังจากเปิดใช้งานอุปกรณ์
Clean Energy Charging หรือ การชาร์จด้วยพลังงานสะอาด เป็นฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 16 ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถชาร์จอุปกรณ์ Apple ด้วยพลังงานสะอาดได้มากขึ้น ฟีเจอร์นี้ทำงานโดยการใช้ข้อมูลจากแหล่งพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ เพื่อปรับเวลาในการชาร์จให้เหมาะสมที่สุด เมื่อมีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่สะอาดกว่า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานน้ำ
เมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์ Clean Energy Charging อุปกรณ์ Apple จะทำการค้นหากิจวัตรการชาร์จประจำวันของผู้ใช้งาน และทำการจำกัดการชาร์จไว้ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ จนกว่าจะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่สะอาดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นจึงจะทำการชาร์จให้เต็ม
ฟีเจอร์ Clean Energy Charging ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการชาร์จอุปกรณ์ Apple ได้ โดยข้อมูลจาก Apple ระบุว่า ฟีเจอร์นี้สามารถช่วยประหยัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 30% เมื่อเทียบกับการชาร์จอุปกรณ์ Apple ด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานฟอสซิล
ฟีเจอร์ Clean Energy Charging เปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาแล้ว โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในภูมิภาคอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่ให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เช่น
- Apple Music Voice Plan เป็นแผนบริการ Apple Music แบบเสียงเท่านั้นที่มีราคาถูกกว่าแผนอื่นๆ
- Apple One Family เป็นแผนบริการ Apple ที่รวมบริการต่างๆ ของ Apple เช่น Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade และ iCloud ไว้ในแผนเดียว
- Apple One Premier เป็นแผนบริการ Apple ที่รวมบริการต่างๆ ของ Apple รวมถึง Apple Fitness+ และ Apple News+ ไว้ในแผนเดียว
Apple ไม่ได้เปิดเผยเหตุผลที่ฟีเจอร์เหล่านี้ให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่เป็นไปได้ว่าฟีเจอร์เหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับกฎหมายของสหรัฐอเมริกาหรือข้อตกลงกับผู้ให้บริการต่างๆ
อ้างอิง – Macrumors