
ทีมผู้พัฒนาแอป Halide เผยผลทดสอบกล้องเดี่ยว 48 ล้านพิกเซลของ iPhone 16e รุ่นประหยัดที่เปิดตัวเมื่อเดือนที่แล้ว พบว่าแม้สเปคบนกระดาษจะดูคล้าย iPhone 16 แต่ในความเป็นจริงมีความแตกต่างที่น่าสนใจหลายประการ
Sebastiaan de With ผู้พัฒนาแอปกล้องชื่อดัง Halide ได้ทำการทดสอบเจาะลึกเทคโนโลยีกล้องของ iPhone 16e รุ่นล่าสุดที่ Apple เพิ่งวางจำหน่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทำการเปรียบเทียบกับกล้องในรุ่นเรือธงอย่าง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro เพื่อดูว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร หลังจากที่ iPhone 16e มาพร้อมกล้องหลักเดี่ยวความละเอียด 48 ล้านพิกเซลเป็นครั้งแรกในรุ่นประหยัด
สเปคเหมือนแต่ไม่เท่ากัน
เมื่อดูข้อมูลเบื้องต้น ทั้ง iPhone 16e, iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ดูเหมือนจะมีกล้องหลักแบบเดียวกัน ซึ่งทาง Apple เรียกว่ากล้อง Fusion ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่สามารถถ่ายภาพทั้งโหมด 1x และ 2x ได้ แต่เมื่อศึกษาในรายละเอียดจะพบความแตกต่างที่สำคัญ
iPhone 16 Pro มาพร้อมกล้องที่มีรูรับแสง f/1.78 ในขณะที่ iPhone 16 และ iPhone 16e มีรูรับแสง f/1.6 นอกจากนี้ iPhone 16e ไม่มีระบบกันสั่นแบบ sensor-shift optical image stabilization ซึ่งมีอยู่ใน iPhone 16 ทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นกล้องที่แตกต่างกัน
ตามการวิเคราะห์ของ de With สิ่งที่ Apple ทำกับ iPhone 16e คือการนำเอาระบบประมวลผลภาพรุ่นปัจจุบันที่ขับเคลื่อนโดยชิป A18 มาจับคู่กับชิ้นส่วนกล้องที่เล็กกว่าและเก่ากว่า เนื่องจากมีเพียงเลนส์ Wide ตัวเดียว ทำให้ไม่มีโหมด Macro, ไม่สามารถถ่ายภาพหรือวิดีโอแบบ spatial, ไม่มี Night mode สำหรับภาพ Portrait และไม่มีตัวเลือกโหมด Cinematic หรือ Action เมื่อถ่ายวิดีโอ นอกจากนี้ยังไม่มีฟีเจอร์ระดับโปรอย่าง ProRAW อีกด้วย
ผลการทดสอบภาพถ่ายเทียบกับรุ่นพี่
ในการทดสอบภาพเปรียบเทียบกับ iPhone 16 Pro พบว่าภาพจาก iPhone 16e มีแนวโน้มที่จะให้โทนสีอุ่นกว่าและมีมุมมองที่แคบกว่า เซ็นเซอร์ที่เล็กกว่าจับรายละเอียดได้น้อยกว่า ซึ่ง de With กล่าวว่าสังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดในสภาวะแสงน้อย ส่วนภาพถ่ายโหมด 2x กับเซ็นเซอร์ขนาดเล็กมีคุณภาพต่ำกว่าและมีการประมวลผลที่ไม่น่าพึงพอใจ
ตามความเห็นของ de With iPhone 16e อาจไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับ iPhone 16 Pro หรือแม้แต่ iPhone 16 แต่มีคุณภาพเทียบเท่ากับ iPhone รุ่นก่อนหน้าที่ไม่ใช่รุ่น Pro และ iPhone 14 Pro การที่ไม่มีระบบกันสั่นแบบ sensor-shift เป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุด เพราะลดคุณภาพของภาพในสภาพแสงน้อยและการถ่ายภาพกลางคืน
อย่างไรก็ตาม de With รู้สึกว่าเซ็นเซอร์ของ iPhone 16e มีลักษณะภาพที่เป็นเกรนและให้อารมณ์ (moody) ซึ่งเขาชื่นชอบในฐานะทางเลือกจากเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ของ iPhone 16 Pro โดยเขาเขียนว่า “ตามที่คนรุ่นใหม่พูดกันทุกวันนี้ มันคือ vibe” ซึ่งหมายถึงให้ความรู้สึกและอารมณ์ที่แตกต่างในภาพถ่าย
ข้อจำกัดของกล้อง iPhone 16e
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือการขาดเลนส์เสริม ทำให้ iPhone 16e ไม่มีความสามารถในการซูมออปติคัลแบบ 3x หรือถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra Wide เหมือนรุ่นที่แพงกว่า นอกจากนี้การไม่มีระบบกันสั่นแบบ sensor-shift ยังส่งผลต่อคุณภาพภาพในสภาวะที่มีแสงน้อยอย่างมีนัยสำคัญ
Apple เลือกที่จะใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาพที่ทันสมัยจากชิป A18 เพื่อชดเชยข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ แต่ในที่สุดแล้ว กล้องที่ดีกว่าของ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ก็ยังคงให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะในสภาพแสงที่ท้าทาย
พิจารณาจากราคาและกลุ่มเป้าหมาย
สิ่งที่น่าสนใจคือแม้จะมีข้อจำกัด แต่ iPhone 16e กลับมอบประสบการณ์การถ่ายภาพที่ดีเมื่อพิจารณาจากจุดยืนด้านราคา ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับรุ่น iPhone SE ก่อนหน้านี้ที่ใช้กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
การที่ Apple นำกล้อง 48 ล้านพิกเซลมาใส่ใน iPhone 16e แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการยกระดับประสบการณ์การถ่ายภาพในไอโฟนรุ่นประหยัด ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพการถ่ายภาพที่ดีในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น
สรุปมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
de With ให้ความเห็นว่า iPhone 16e ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะแข่งขันกับรุ่นเรือธงอย่าง iPhone 16 Pro แต่กลับนำเสนอทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่ระบบนิเวศของ Apple ด้วยงบประมาณที่จำกัด โดยยังได้รับประสบการณ์การถ่ายภาพที่เหนือกว่ารุ่นราคาประหยัดในอดีต
บทวิเคราะห์แบบเต็มของ de With พร้อมภาพเปรียบเทียบสามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ Lux โดยรวมแล้ว iPhone 16e ถือเป็นก้าวสำคัญของ Apple ในการนำเทคโนโลยีกล้องระดับสูงมาสู่ผู้ใช้ในวงกว้าง แม้จะมีการลดทอนคุณสมบัติบางอย่างเพื่อรักษาระดับราคาก็ตาม
อ้างอิง | Macrumors.com